thaiskyhost.com=>
ประสบการณ์ฝึกสมาธิ ->
แชร์ประสบการณ์นั่งสมาธิ ตั้งเป้าหมายไว้คือ ฌาน อัพเดตเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้า
| ||||||||||||
อื่นๆที่คล้ายกัน |
แชร์ประสบการณ์นั่งสมาธิ ตั้งเป้าหมายไว้คือ ฌาน อัพเดตเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้า
แชร์ประสบการณ์นั่งสมาธิ ตั้งเป้าหมายไว้คือ ฌาน อัพเดตเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้าแชร์ประสบการณ์นั่งสมาธิ ตั้งเป้าหมายไว้คือ ฌาน อัพเดตเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้า เมื่อผมนั่งสมาธิและได้รับเทคนิค หรือปรากฎการต่างๆในสมาธิที่เกิดขึ้นและรู้เห็นด้วยตนเอง ผมจะนำสิ่งเหล่านั้นมาแชร์ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ , เป็นแนวทางสำหรับท่านที่มีความสนใจในการฝึกฝนนั่งสมาธิ มีท่านผู้รู้หลายๆท่านบอกไว้ว่าแสงสว่างจ้าอันสงบในสมาธิที่เกิดจากการมีจิตตั้งมั่นจนเป็น ฌาน นั้น ทำให้ผมอยากลองพิสูจน์ด้วยตนเองบ้างแล้วซิ เกริ่นนำเกี่ยวกับตัวเองก่อน ผมเป็นคนนึงที่อยากนั่งสมาธิ ไม่ใช่อยากละทางโลก ไม่ใช่อยากละกิเลส แต่เพียงแค่อยากรู้ว่า "ในสมาธินั้นมีอะไรดี ทำไมถึงมีคนชอบนั่งกัน" และขณะนี้มีโอกาส กำลังใจ และความตั้งมั้นที่อยากฝึกสมาธิแบบจริงจัง ผมก็เลยไม่รอช้าเริ่มฝึกสมาธิด้วยความอยากรู้อยากลอง ก่อนหน้านี้ ช่วงประมาณเดือนกันยายน ปี 2558 ผมเคยฝึกนั่งสมาธิด้วยความตั้งมั่น ตอนนั้นจำได้ว่านั่งแบบที่สุดของสมาธิแล้วนะ ผมนั่งได้ตั้ง 10 นาทีแน่ะ (แอบชมตัวเองว่าเราก็เก่งเหมือนกัน) แต่ก็ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรขึ้นมาเลย นั่งไปก็ดำๆมืดๆ และที่สำคัญเมื่อยๆ อยากออกจากสมาธิเร็วๆ การนั่งสมัยก่อนเป็นไปแบบไม่ต่อเนื่องเท่าไหร่ อยากนั่งก็นั่ง ไม่อยากก็ไม่นั่ง เอาที่สบายใจเลย ผ่านมาอีกสองเดือน เหมือนความตั้งมั่นจะคืบหน้าบ้างแล้ว ผมนั่งสมาธิได้ครึ่งชั่วโมง จำได้ว่าพอถึงช่วง 15 นาทีมือเริ่มชาแล้วมือก็หายไป พอใกล้ๆเครื่องชั่วโมงขาเริ่มชาแล้วก็เหมือนจะหายไป บอกตามตรงเมื่อยมากมาย อยากนั่งให้ถึงเป้าหมายครึ่งชั่วโมงเร็วๆ จากที่ฝึกฝนสมาธิผ่านมาหลายเดือน ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสมาธิเลย จะมีบ้างก็เรื่องของการตกภวังค์ (อาการวูบเหมือนเราสะดุงตื่นในขณะนั่งสมาธิ) และอาการเมื่อยที่เหมือนกับต้องฝืนร่างกายนั่งไปเพื่อให้ถึงจุดหมายของเวลา แต่สิ่งที่ทำให้ประทับใจก็คือ จากที่เคยนั่งได้ 10 นาที ตอนนี้ขยับมาเป็น 30 นาที ก็ถือว่าแอบดีใจนิดๆ จากนั้นผมก็ไม่เคยได้สนใจและนั่งสมาธิอีกเลย เพราะขี้เกียจนั่ง , ไม่เห็นความคืบหน้าเลยว่าในสมาธิมีอะไร และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเดือน กรกฎาคม ปี 2559 ความอยากนั่งสมาธิก็ประทุขึ้นมาอีก ผมเริ่มศึกษาเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้นว่าต้องนั่งแบบไหนอะไรยังไง ตอนแรกรู้มาว่าต้องนั่งนานๆแล้วถึงจะไปสู่ความสงบของสมาธิที่แท้จริงได้ เอาวะ..เป็นไงเป็นกัน วันนั้นผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 2 ชม. ด้วยความตั้งมั่นอย่างแรงกล้า ทำให้ผมได้รับรู้ความทรมานของร่างกายเมื่อเวลาผ่านไปหลังครึ่งชั่วโมงแรก ความเมื่อย ความปวด สุดจะบรรยาย แต่ก็เพราะความตั้งมั่น ผมอดทนนั่งสมาธิได้ถึง 1ชม. 45นาที โอ้โห...ทำไปได้ยังไงจากเดิมที่เคยนั่งได้แค่ 30นาที คงเป็นแรงศรัทธาและความเชื่อมั่นตั้งใจเลยทำให้ไม่ยอมแพ้ต่อความปวดเมื่อย แม้ผมจะลองนั่งนานเป็นชั่วโมงกว่าๆ ก็ไม่เคยรู้ว่าในสมาธิมีอะไร และแล้วมีอยู่วันหนึ่ง..จำได้ว่าวันนี้ขี้เกียจมาก นั่งแบบเฉยๆ แบบไม่สนใจอะไร นั่งๆมันไป นาฬิกาก็ไม่ตั้งปลุก ได้แค่ไหนก็แค่นั้นไม่อยากมาทนนั่งเมื่อยอีก ปรากฎว่า....เมื่อนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าร่างกายมันเบาแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ลมหายใจแผ่วลง อยู่ๆแสงสีต่างๆก็มาวิ่งๆให้เห็นในขณะที่ผมหลับตาทำสมาธิอยู่ แสงวิ่งเป็นดวงๆเปลี่ยนสีสลับไปมา บางทีก็วนๆเป็นเส้นๆเหมือนสายรุ้ง ผมตื่นเต้นมากอย่างบอกไม่ถูก หัวใจที่เต้นแรงขึ้นจนรู้สึกได้ชัด กับการเพ่งแสงว่ามันคืออะไร ยังไง มันมีสีไรบ้าง วิ่งแบบไหน ยิ่งเพ่ง มันยิ่งค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ แล้วมันก็ไม่กลับมาให้เห็นอีกเลย ผมออกจากสมาธิด้วยความดีใจ แล้วคิดว่าเรามีความคืบหน้าแล้วซินะ ในสมาธิมีแสงแปลกๆอย่างนี้นี่เอง คนถึงชอบนั่งกันนักกันหนา (ผมก็มโนไปเรื่อย ตามประสามือใหม่และไม่มีความรู้) ด้วยความรู้จากเมื่อวาน พอมาวันใหม่ ผมพกความมั่นใจมาเต็มร้อยว่าวันนี้ฉันต้องเห็นแสงนั้นอีกและต้องรู้ให้ได้ว่าคืออะไรกันแน่ และแล้วผมก็นั่งสมาธิแล้วหลับตาลง สิ่งที่ผมได้รับผมก็ไม่เห็นแสงมันมาวิ่งๆ แว๊บๆให้ผมเห็นอีกเลย ตอนนั้นเกิดคำถามมากมายว่าเราทำผิดพลาดตรงไหน และวันอื่นๆผมพยายามลองอีกหลายๆครั้งก็มีเห็นบ้าง แต่มันเห็น 2 วิ พอจะเพ่งดูมันก็หายไป ด้วยความสงสัยจึงหาข้อมูลต่อเกี่ยวกับแสง ก็ปรากฎว่าแสงเหล่านั้นมันจะปรากฎขึ้นมาเมื่อจิตเรานิ่งระดับนึง แต่มันจะหายไปเมื่อเราไปเพ่งมัน หลายๆท่าน หลายๆอาจารย์มีความรู้เกี่ยวกับสมาธิที่ผมศึกษาหาข้อมูลมา เขามักจะบอกว่าไม่ต้องไปสนใจมัน เพราะมันไม่ใช่แก่นสารหรือสาระสำคัญ ( แต่บางท่านใช้ประโยชน์จาการเพ่งแสงดวงๆวิ่งไปวิ่งมานี้จนได้ฌาณ ลองอ่านดูจิ : http://palungjit.org/threads/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A1.493616/ แต่ผมทำวิธีนี้ไม่เป็นนะ ยิ่งอยากเพ่งมันยิ่งหายไป ) เมื่อผมทราบรายละเอียดเกี่ยวกับแสงแล้ว ผมเริ่มหาวิธีการนั่งสมาธิที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ผมได้เรียนรู้การนั่งสมาธิแบบ "อานาปานสติ" ผมเรียนรู้จากอาจารย์ท่านนึงในอินเทอร์เน็ตที่ให้ความรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ก็รู้ว่าฝึกสมาธิแบบอานาปนสติสามารถทำได้ทั้งนั่งหลับตาและขณะที่ลืมตาในชีวิตประจำวัน หลักการฝึกพื้นฐานก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่รู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้หายใจเข้า , หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก หายใจยาวก็รู้หายใจยาว , หายใจสั้นก็รู้หายใจสั้น ไม่ต้องบริกรรมพุทโธ ไม่ต้องดูท้องยุบพอง ผมคิดว่าง่ายและสะดวกดีผมจึงเลือกฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติ การฝึกนั่งสมาธิ แบบอานาปานสติ หลังจากนี้ผมจะเริ่มฝึกสมาธิแบบอานาปนสติทุกวัน ตอนเช้าตื่นนอน และตอนค่ำก่อนนอน โดยฝึกเช้าประมาณ 1 ชม. และตอนค่ำประมาณ 1 ชม. เพื่อให้ได้เรียนรู้การฝึกสมาธิและวัดผลความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่การนั่งสมาธิเราก็ควรรู้จักตัวที่จะมาขัดขวางสมาธิของเรากันเสียก่อน ทางธรรมมะเขาเรียกกันว่า นิวรณ์ 5 มาแนวนี้มือใหม่ๆก็ งง กันตามเคย ผมขอสรุปแบบภาษาชาวบ้านเพื่อให้ง่ายๆและสั้นๆที่สุด สิ่งที่เราต้องละให้ได้ตอนนั่งสมาธิคือ 1. ความชอบ 2. ความไม่ชอบ 3. ความลังเลใจ 4. ความฟุ้งซ่าน 5. ความง่วงซึม และความอยากทั้งหลายด้วย เหล่านี้คือสิ่งที่จะมาทำให้สมาธิของเราไม่ตั้งมั่น สำหรับท่านที่ต้องการอ่านละเอียๆเกี่ยวกับนิวรณ์ 5 ผมไปเจอเว็บนี้มาเขียนเข้าใจง่ายดี ลองไปศึกษาดูนะครับ นิวรณ์ 5 :: https://www.gotoknow.org/posts/261289&usg=AFQjCNE3CWzi0Beqy6aWhhhELRbBb4_4Xg ข้อมูลเบื้องต้น ที่ผมฝึกนั่งสมาธิแบบอานาปานสติอยู่ขณะนี้กล่าวคือ นั่งขัดสมาด นั่งหลังตรงให้รู้สึกสบายๆ ไม่เกร็งส่วนใดส่วนหนึงของร่างกายเป็นอันขาด ถ้าเกร็งให้คลายความเกร็ง นั่งหลับตา นั่งนิ่งๆห้ามขยับเป็นอันขาด แม้ยุงจะกัดในระหว่างนั่งสมาธิก็ตาม จากนั้นเพียงแค่รู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้หายใจเข้า , หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก , หายใจยาวก็รู้หายใจยาว , หายใจสั้นก็รู้หายใจสั้น สำหรับการหายใจนั้นหายใจแบบธรรมชาติไม่ต้องไปดัดแปลงอะไร หายใจให้เต็มปอดลากยาวๆแบบไม่ต้องฝืนธรรมชาติ หายใจช้าหน่อยไม่ต้องรีบเร่งนักและก็ไม่ต้องช้าจนเกินไป ขอเตือนเรื่องสิ่งขัดขวางอีกครั้งหนึ่ง...แม้เป้าหมายสูงสุดในการนั่งสมาธิของเราจะมุ่งไปสูงสมาธิระดับฌาน ถ้ากำหนดเป้าหมายไว้แบบนี้คุณเองก็จะเริ่มถูกครอบงำด้วยความอยากให้ถึง ฌาน เร็วๆ สิ่งที่ต้องฝึกละให้ได้ ในขณะที่คุณกำหนดลมหายใจนั่งสมาธิอยู่ คือ A . :::: ความอยากทั้งหลาย อยากได้ , อยากรู้ , ความอยากเห็น ทุกอย่างที่เป็นความอยากละให้หมดสิ้นนะ หากเกิดขึ้นขจัดความอยากได้เพียงแค่รู้ รู้ว่าอยาก ในช่วงลมหายใจนั้นๆ แต่ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน หากลมหายใจถัดไป ยังมีความอยากอีก ก็รู้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะปล่อยวางแล้วกลับมาดูลมหายใจเข้าออกต่อ B. :::: นิวรณ์ 5 ทั้งหมดนี้ก็ละเหมือนกับความอยากนั่นแหละ รู้อาการเหล่านั้นเฉยๆ เมื่อจิตมันไปเกาะติด 1. ความชอบ === หากชอบก็รู้ว่าชอบ ไม่ต้องไปอะไรกับมัน 2. ความไม่ชอบ === หากไม่ชอบ ก็รู้ว่าไม่ชอบ ไม่ต้องไปอะไรกับมัน 3. ความลังเลใจ หรือสงสัย === ก็รู้ไปไม่ต้องไปอะไรกับมัน 4. ความฟุ้งซ่าน === ก็รู้ไปไม่ต้องไปอะไรกับมัน ไม่ต้องไปคิดตามว่าเราฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เช่น คิดถึงแฟน ก็รู้ว่าฟุ้ง , คิดถึงเมื่อไหร่นาฬิกาที่ตั้งไว้จะปลุก ก็รู้ว่าฟุ้ง 5. ความง่วงซึม === นอนพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วอาการนี้จะไม่เกิด หากเกิดในระหว่างนั่งสมาธิให้ลองรู้ดูว่าเราง่วง แต่ถ้าไม่ไหวง่วงนอนจริง ก็ออกอยากสมาธิไปนอนซะ ฝืนนั่งไปก็ไม่ค่อยได้ประโยชน์ จำไว้ว่าการฝึกนั่งสมาธิ ก็คงเหมือนกับการหยอดกระปุกออมสินใบใหญ่ทีละ 1 บาท ขยันหยอดมันทุกวัน ต้องมีสักวันหนึ่งล่ะน่ะที่มันเต็ม ผมนี่หยอดวันละสองบาทเลย เช้า-ก่อนนอน เพื่อจะได้เต็มเร็วขึ้น อิอิ , จริงๆแล้วผมมีเวลาที่สะดวกเช้าและก่อนนอน ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ความคืบหน้าในการฝึกสมาธิของฉัน เพื่อเป็นแนวทาง ทุกๆครั้งที่คืบหน้า ผมจะนำข้อมูลของเหตุการณ์ต่างๆในสมาธิที่ผมรับรู้ได้มาแชร์กันครับ ----------------------------------------------------- แรกสุดแห่งความตั้งใจ กลางเดือนกรกฎาคม 7/2559 ก้าวแรกของความมุ่งมั่น การนั่งสมาธิในช่วงแรกๆ บางท่านอาจจะนั่งนานไม่ได้ ขอให้นั่งตามเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยๆเพิ่มเวลาตามประสบการณ์ แต่การฝึกฉบับของผมในช่วงแรกนั้น ผมต้องการให้ร่างกายปรับตัวกับการนั่งนานๆโดยไม่กระดุกกระดิก โดยสร้างความเชื่อว่าตัวเองต้องทำได้ จากนั้นก็ตั้งเวลาปลุก 2 ชม. แล้วทดลองนั่งขัดสมาธิดู ทำแบบนี้อยู่ 7 วัน วันละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึง 2 ชม.หรอก บางครั้งก็ทนความเมื่อยได้ 45 นาที , บางครั้งก็ทนความเมื่อยได้ 1 ชั่วโมง 15 นาที เคยนั่งทนความเมื่อยได้สูงสุด 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็แค่นั่งเฉยๆ ตั้งใจนั่งนานๆ ตั้งใจนั่งให้นิ่งๆไม่ขยับ ยุงกัดก็กัดไปดิไม่สน การฝึกนี้ไม่ได้มีอารมณ์สมาธิหลอก แต่เพื่อปรับร่างกายให้ชินกับการนั่งนานๆได้แค่นั้นเอง ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 21/7/2559 เริ่มทำความรู้จักกับกิเกส มาเริ่มนั่งสมาธิกันจริงจังเสียที ด้วยการรู้ลมหายใจเข้า-รู้ลมหายใจออก ตามที่ได้ศึกษามา , ละอาการอยากทั้งปวง , ละนิวรณ์ 5 ทั้งปวง ฟังดูแล้วเหมือนจะง่ายนะ แต่เอาเข้าจริงๆ นั่งไปนั่งมา จิตไม่ได้มารู้ลมหายใจเข้าออกซะและ ไปคิดโน่นคิดนี่ (เรียกว่าอาการฟุ้ง) , บางครั้งก็อยากให้ถึงฌานเราเร็วๆ(เรียกว่าความอยาก) , พอนั่งการอาการเมื่อยเข้าหน่อยก็เกิดความท้อถอย(เรียกว่าความไม่ชอบ) บางทีก็เห็นแสงวิ่งๆบ้างแป๊บนึงก็เกิดอยากเห็นอีกและยิ่งเพ่งมันก็ยิ่งหายไปแล้วหาทางกำหนดจิตว่าทำไงมันจะมาให้เห็นอีก(เรียกว่าความอยาก + ความชอบ + ความสงสัย) มาพิจารณ์ดูอีกทีเห็นได้ว่า ไอ้สิ่งที่เราอยากละทิ้งเสียให้หมด มันกลับมาหาเราเองทั้งหมดเลยโดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัว และเผลอไปกับมันตามอำนาจของกิเลส สงสัยสติและสมาธิเรายังไม่แข็งแรงพอที่จะรู้ทันสิ่งเหล่านี้ ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 5/8/2559 รู้ลมหายใจต่อเนื่อง การฝึกยังเดินทางไปอย่างผู้อ่อนประสบการณ์ แต่ก็ยึดหลักการต่างๆตามที่ศึกษามา และตามประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่พบเจอมา ตลอดเวลาเกือบๆ 1 ชม. ของการนั่งสมาธิ ผมรู้ตัวเองดีว่า ผมสามารถรับรู้ลมเข้า-ออกได้เกือบทั้ง 1 ชั่วโมง แต่ก็มีบ้างที่จิตมันเผลอไปคิดเรื่องอื่นๆ แต่ก็พยายามดึงจิตกลับมา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของอาการเมื่อยขา และจิตจะวิ่งไปจับที่นาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาหยุดนั่งสมาธิซักที และนี่เองก็คืออุปสรรคมากๆในช่วงแรกๆนี้ ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 17/8/2559 แสงวิ่งๆแว๊บ กับการรู้จักลมละเอียด ในขณะที่ผมเข้าสมาธิอยู่นั้น ผมเริ่มเห็นแสงเป็นดวงๆ มีสีสลับกันไป แล้วแต่มันจะมาให้เห็น แต่ผมรู้ทันว่าเจ้าแสงพวกนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ ผมเลยไม่สนใจ แล้วตั้งใจดูลมเข้าออกต่อไปเรื่อยๆ เริ่มมีความรู้สึกถึงลมหายใจที่ละเอียดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิไปสัก 15 นาที แม้เวลาจะผ่านมาครึ่งชั่วโมงก็ไม่เคยรู้สึกเมื่อยขาเลยแม้เวลาจะผ่านมา 45 นาทีก็ตาม รอบนี้นั่งสมาธิไปทั้งหมด 45 นาที ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 18/8/2559 พบแสงแบบใหม่ เหมือนไฟฉายส่องตา วันนี้ผมนั่งสมาธิตามปกติ มีความคืบหน้ามาอีกหน่อยเพื่อมาเล่าสู่กันฟัง ผมปฏิบัติการนั่งสมาธิตามหลักการเหมือนเดิม และทุกๆครั้งที่นั่งก็มักเห็นแสงดวงๆวิ่งไป วิ่งมา แว๊บไป ว๊าบมาให้เห็นบ่อยๆจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมไม่ได้ให้ความสำคัญหรือสนใจอะไรอีกต่อไป และวันนี้สิ่งทีผมพบอีกมันเป็นแสงแบบใหม่ ไม่ใช่แบบที่วิ่งๆ แต่จะเป็นแสงวาปขึ้นมาเต็มสองตา อาการจะเหมือนกับเราเอาไฟฉายมาส่องตาในขณะที่เราหลับตาอยู่ แต่ความจ้าจะไม่แรงเท่ากับแสงไฟฉาย แต่จะเป็นแสงสว่างสีหม่นๆ จะไม่วิ่งไปวิ่งมา จะสว่างจ้าให้เห็นเป็นช่วงๆ แต่ก็เกิดขึ้นไม่กี่วินาทีก็หายไปเป็นความมืด เพราะใจเกิดอาการสงสัย(ความสงสัย) เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลยไม่ชิน ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น แล้วก็มีความรู้สึกว่าอยากเห็นอีกเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้(ความอยาก) เลยทำให้ไม่เห็นอีกเลย นั่งไปก็เริ่มเมื่อยขา เลยออกจากสมาธิด้วยความดีใจที่ได้คนพบอะไรใหม่ๆอีกแล้ว เลยมานอนพักที่โซฟา ด้วยความเพลียเลยแอบหลับไปครู่หนึ่ง และเมื่อรู้สึกตัวตื่นมาพร้อมกับตั้งจิตลองกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกดู ปรากฎว่าแสงสว่างแบบตอนนั่งสมาธิปรากฎอีกแล้ว สว่างกว่าที่เห็นในสมาธิอีก ยิ่งเห็นก็ยิ่งสงสัยและอยากดูต่อ เพียงแค่ 1-3 วิ แสงก็หายไปแบบไม่กลับมาอีกเลย และนี่ก็คือประสบการณ์และความคือบหน้าของวันนี้ รอบนี้นั่งสมาธิไปทั้งหมด 40 นาที ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 22/8/2559 ค้นพบวิธีค้งไว้ซึ่งแสงสว่างแบบต่อเนื่อง เข้าสมาธิโดยการดูลมหายใจไปเรื่อยๆ เพิ่มความชัดเจนยิ่งขึ้นโดยการสังเกตว่า ทุกๆลมหายใจเข้าออก หากเราไม่ได้ฟุ้ง จะเห็นว่าช่วงวินาทีสั้นๆในระหว่างที่เรากำลังหายใจนั้น จะมีช่วงที่เราลืมรับรู้ว่าเรากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยูที่ขณะนั้นๆ เช่น ช่วงเวลาที่ลมหายใจหยาบนั้น ฉันกำลังสูดหายใจเข้าอยู่ ทั้งๆที่ยังสูดหายใจเข้าไม่สุด ระหว่างนั้นฉันลืมไปว่าฉันกำลังหายใจเข้าอยู่ ถ้าอาการนี้เกิดขึ้นแล้ว. เมื่อเรารู้ตัวทัน ให้เราบอกกับตัวเองว่า "เหม่อ" เพื่อให้จิตเกิดการรับรู้ ยอมรับความจริง และกลับมามีสมาธิแบบที่มีสติรู้ช่วงลมหายใจเข้า-ออก อีกครั้ง เชื่อเถอะว่าอาการนี้จะเกิดบ่อยครั้งมากมาย ขอให้สังเกตและนำไปใช้ เพื่อประคองสติและสมาธิให้อยูกับตัวตลอดเวลา เมื่อนั่งไปสักพักหนึ่งสติและสมาธิที่มั่นคงพอประมาณ ก็จะเห็นแสงสว่างสีหม่นๆ ถ้ายังไม่นิ่งมากพอก็จะเป็นแสงวิ่งไปมา หรือวาบไปวาบมา ถ้าจิตนิ่งหน่อยก็จะเป็นความแสงสว่างสีหม่นๆ คล้ายกับใครเอาไฟฉายเล็กๆ แสงอ่อนๆ มาส่องตาของเราตอนที่เราหลับตาอยู่ อารมณ์จะประมาณนั้น ซึ่งแสงนี้จะไม่วิ่งไปวิ่งมา จะเป็นแสงสีหม่นที่นิ่งๆเฉยๆ สว่างพอที่เรารับรู้ได้ (ตรงนี้ไม่ใช่แก่นสาร สำหรับมือใหม่อาจจะตกใจเมื่อได้เห็น แต่ถ้าคนที่เคยนั่งสมาธิมาสักระยะหนึ่งจะเฉยๆไม่สนใจ) (ถ้าเราไปสนใจ และยึดติดกับแสงที่เห็น แล้วอยากให้แสงคงอยู่ แต่ด้วยความไม่เที่ยง แสงนั้นจะรีบหายไป แล้วเราก็จะอยากเห็นมันอีก แต่มันก็จะไม่ออกมาให้เห็นซะที จนจิตเราเริ่มจะทยานอยาก ตามมาด้วยความฟุ้งซ่าน กล่าวคือ "ความอยาก" เป็นอุปสรรคในการฝึกสมาธิ)(เตือนมือใหม่ : หากเห็นแสงต่างๆที่ปรากฎ ก็ให้รับรู้ว่าเห็น ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องอยากอะไร ไม่ต้องให้ความสำคัญ ตั้งใจรู้ลมหายใจต่อไป ) ในขณะที่เราตั้งจิตรับรู้ลมหายใจ หากสังเกต แสงสว่างสีหม่นที่เหมือนกับคนเอาไฟฉายมาส่งหน้าตอนหลับตามันจะมาแบบแว๊บเดียว ไม่นานก็หายไป แล้วพอจิตนิ่งอีกมันก็จะสว่างมาอีก จะสลับกันไปเรื่อยๆ หากสังเกตให้ดี ลมหายใจจะเริ่มละเอียดขึ้นมาอีกระดับนึง ทีนี้สิ่งใหม่ที่ผมได้ค้นพบเป็นเหมือนประตูที่จะเดินทางไปสู่สมาธิที่นิ่งยิ่งขึ้นคือ "การรับรู้ร่างกายจากภายใน + การรับรู้ลมหายใจเข้า-ออก" การรับรู้ร่ายกายจากภายใน มันคือการรับรู้ถึงความรู้สึกของร่างกาย ในขณะที่จิตเราตั้งมั่นด้วยสมาธิ สิ่งที่ผมรับรู้ได้คือ ร่างกายที่เบาและรับรู้ถึงท่านั่งที่เป็นขัดสมาธิอยู่ แต่ไม่ใช่มุมมองจากการที่ให้คนมาอยู่ตรงหน้าแล้วมองตัวเรานั่งสมาธิ แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จะเป็นมุมมองจากภายในที่เห็นตัวเองนั่งขัดสมาดอยู่ในท่านั่งสมาธิ แขน มือ หัว ตัว หลังตรง ขาที่ขัดกันไว้ จะรู้สึกได้ทั้งหมดอย่างชัดเจน อาจจะอธิบายด้วยคำพูดยากหน่อย มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ต้องลองทำดูถึงจะรู้ได้เองนะ เมื่อทำการรับรู้รับลมหายใจและร่างกายแล้ว จิตผู้ดู ก็จะถอยออกมา(มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเอง) จิตจะมองเห็นร่างกายกำลังหายใจเข้าออก(มองเห็นจากภายในด้วยความรู้สึก) โดยที่เรายังคงรับรู้ลมหายใจเข้าออกเหมือนเดิม สิ่งที่รับรู้ได้อีกคือ แสงสว่างสีหม่นๆบางทีมันก็สว่างจ้ามากยิ่งขึ้น บางทีมันก็หรี่ลงไป แต่แสงมันไม่หายไป มันคงที่อยู่กับความสว่างสีหม่นนี้ไม่หายไปไหน (เราก็เห็นมันเฉยๆ ไม่ต้องไปอยากเห็น มันจะมาให้เห็นเอง) และรับรู้ได้อีกว่าลมหายใจละเอียดขึ้นอีกระดับหนึ่ง และลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลง จากที่หายใจได้ยาว ตอนนี้เหลือหายใจได้สั้นลงและแผ่วๆ แต่ก็รู้สึกสบายไม่อึดอัด เหล่านี้เองก็เป็นประสบการณ์ใหม่ของผมในการนั่งสมาธิที่รู้สึกได้ถึงความคืบหน้า และเป็นแนวทางที่จะนำใช้ในการฝึกสมาธิในวันถัดๆไป แสงที่สว่างหม่นๆที่ผมเห็นในสมาธิ มันคงเป็นแสงของจิต ที่กิเลสต่างๆบดบังอยู่ ซึ่งกิเลสประกอบไปด้วย ความอยาก , ความฟุ้งซ่าน และความสงสัย ซึ่งผมเองคงยังกำจัดสิ่งเหล่านี้ไม่หมด ผมคิดว่า จิตที่นิ่ง จิตที่รวมเป็นหนึ่งเดียว จะทำให้เราเห็นแสงสว่าง เคยมีผู้รู้หลายๆท่านบอกว่าการนั่งสมาธิจนถึง ฌาน( อ่านว่า ชาน) นั้น ผู้ที่เข้าถึงฌาณจะเห็นแสงสว่างจ้าดุจเอาพระอาทิตย์มาปรากฎตรงหน้าก็ว่าได้ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยจิตขณะนั่งสมาธิ ซึ่งไม่ได้มองเห็นด้วยตา แสงสว่างอันมหาศาลนั้นไม่ทำให้แสบตา แต่กลับทำให้รู้สึกสบาย สงบ และมีความสุขอยู่กับสถานที่แห่งแสงสว่างแห่งนั้น อาจารย์บางท่านก็บอกว่า นั่นคือแสงของดวงจิต ปกติเรานั่งสมาธิหลับตาแล้วเห็นเป็นดำๆมืดๆ ก็เพราะว่ากิเลสต่างๆมันบดบังเอาไว้ ชาตินี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีบุญได้ถึงฌานกับคนอื่นเค้าบ้างหรือเปล่า แต่ก็ฝึกฝนไปเรื่อยๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้ทั้งที มีโอกาสฝึกสมาธิตามแบบพระพุทธเจ้าก็ไม่เสียทีที่เกิดมา ถึงจะเป็นคนที่กิเลสหนา แต่ผมก็ตั้งใจและพยายาม ไม่ย่อท้อ เพื่อที่สมาธิที่ฝึกฝนนำมาพัฒนาสติและปัญญาในการรับรู้ชีวิตประจำวันตามแบบอย่างของพุทธศาสนา ^^ รอบนี้นั่งสมาธิไปทั้งหมด 50 นาที ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 23/8/2559 เมื่อลมหายใจของฉันหายไป ผลจากการรับรู้เทคนิคใหม่ๆในเมื่อวาน ทำให้ผมเจออะไรที่ใหม่กว่าในวันนี้ วันนี้ผมนั่งสมาธิโดยยึดรูปแบบการฝึกฝนของเมื่อวานเป็นหลัก ทำให้จิตตั้งมั่นและมีสมาธิพร้อมกับสติมากยิ่งขึ้น เมื่อผมนั่งสมาธิไปเรื่อยๆไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จิตผมก็นิ่งแล้วแสงสว่างสีหม่นเริ่มปรากฎให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ลมหายใจเริ่มแผ่วลงอีกเช่นเคย ทุกๆครั้งที่จ้ามากขึ้นลมหายจะก็จะสั้นมากๆด้วยเช่นกัน(เหมือนคนหายใจถี่) ซึ่งมันเป็นไปเองตามร่างกาย เราไม่ได้ไปบังคับให้มันเป็นนะในเรื่องของลมหายใจสั้นลงและแผ่วลง แต่รอบนี้จิตเริ่มรับรู้ได้ว่าทุกๆครั้งที่ลมหายใจแผ่วลงไปเรื่อยๆ จิตที่เคยรู้ลมหายใจเข้า-ออก มันจะวิ่งไปจดจ่ออยู่กับแสงสว่างสีหม่นเองแบบอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ผมเลยให้คำจำกัดความกับเหตุการณ์นี้ว่า "ลมหายใจเปลี่ยนเป็นแสง" สังเกตดีๆก็เหมือนกับจิตของฉันแอบไปเพ่งแสงโดยไม่รู้ตัว เมื่อตั้งสติได้แล้วฉันก็นำจิตกลับมารู้ลมหายใจเข้าออกที่สั้นๆและแผ่วบางอีกครั้งหนึ่งอย่างมุ่งมั่นด้วยสติ และแล้วสิ่งที่ไม่เคยเจอก็เกิดขึ้น อยู่ดีๆลมหายใจของฉันก็หายไป จิตของฉันไม่รู้ลมหายใจอีกแล้ว เหมือนฉันนั่งแล้วไม่หายใจ ฉันไม่สามารถจับลมหายใจได้เลย แต่ฉันไม่อึดอัดแต่กลับรู้สึกโล่ง สบาย สงบ หูไม่สนใจเสียงภายนอก แสงสว่างเริ่มคลายตัวเป็นเส้นๆมีสีต่างๆแล้วก็หายไปเป็นความมืด ตอนนี้ฉันรู้สึกว่างเปล่าไม่มีลมหายใจให้จิตเกาะจับเพื่อให้จิตสงบมีสมาธิ ฉันเริ่มเกิดความสงสัยว่าเราจะเอาไงต่อดี ฉับรับรู้สึกไปที่ท้องว่าฉันยังหายใจอยู่หรือเปล่า ก็รู้สึกได้แผ่วๆว่าท้องของฉันยังขยับอยู่และรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ ก็เพราะร่างกายยังหายใจอยู่นั่งเอง แต่ฉันก็กลับมารู้ถึงลมหายใจอีกครั้งเพราะจิตไม่ตั้งมั่น เหตุการณ์นี้เกิดกับฉันเป็นครั้งแรกทำให้ฉันเกิดความสงสัย ปรากฎการนี้จึงค่อยๆเริ่มคลายตัวเพราะความสงสัยทำให้สมาธิไม่เกิดความตั้งมั่น เมื่อคลายตัวจะกลับมาอยู่ที่ลมหายใจแผ่วๆ แต่ไม่มีแสงให้เห็นแล้ว ฉันเริ่มเมื่อยขาและจึงตัดสินใจออกจากสมาธิ รอบนี้นั่งสมาธิไปทั้งหมด 55 นาที ----------------------------------------------------- อัพเดตความคืบหน้าการนั่งสมาธิกันหน่อย 24/8/2559 - 18/01/2560 เข้าสู่ภวังค์ และขอสรุปแบบโดยย่อของระยะเวลาฝึกฝนทั้งหมดนี้ การฝึกฝนยังคงฝึกไปเรื่อยๆ มีทั้งท้อบ้างเพราะไม่สามารถทำให้อารมณ์สมาธิเหมือนเดิมตามที่หวังได้ มีทั้งดีใจบ้างที่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆในสมาธิ และมีทั้งขาดช่วงการฝึกไปหลายๆอาทิตย์บ้างก็เพราะว่าไม่มีเวลาว่างในการฝึกนั่นเอง ผมจะมาขอสรุปโดยรวมของเหตุการณ์และความรู้ในสมาธิที่เกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงเวลาแห่งนี้ การฝึกผมยังคงอยากรับรู้เรื่องของแสงสว่างในสมาธิ ทั้งๆที่รู้ดีว่าแสงนั้นมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วมันก็หายไป แล้วผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี และเป็นเรื่องจริง ที่ทุกครั้งแสงเกิดปรากฎ เมื่อผมไปรู้แสง ความตั้งมั่นของลมหายใจจะขาดหายไป ทำให้สมาธิไม่มีความตั้งมั่นที่แน่นอน เรื่องถัดมาก็เป็นเรื่องของภวังค์ ที่เกิดบ่อยๆในช่วงนี้ อาการของภวังค์จะคล้ายๆกับเราเคลิ้มหลับไป แต่จริงๆแล้วเราก็ไม่ได้หลับหรอก ถ้าบอกว่าเคลิ้มน่าจะอธิบายอารมณ์ได้ใกล้เคียงมากสุด ซึ่งช่วงที่เคลิ้มนั้น จิตจะไม่ตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ แล้วก็มักปรากฎภาพต่างๆขึ้นมาให้เราเห็น คล้ายๆกับภาพตอนเราฝันนั่นแหละ บางทีก็เป็นภาพคนในสถานที่ต่างๆ บางที่ก็เป็นภาพของสิ่งของ ซึ่งมันจะเกิดปรากฎให้เราเห็นแว๊บนึงพอสังเขป แล้วก็จะเหมือนตกวูบกับมาตั้งมั่นลมหายใจเหมือนเดิม จากการค้นคว้าหาข้อมูลพบว่า นี่คือนิมิต แต่เป็นนิมิตในสมาธิขั้นต้น ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะจิตมันดิ่งไปสู่ภวังค์จิต ว่ากันว่าภวังค์จะเป็นภาวะบางๆ ขั้นอยู่ระหว่างการหลับกับการตื่น ก็น่าจะเป็นอาการเคลิ้มดีๆนั่นเอง อิอิ สำหรับการเกิดภวังค์นั้น ไม่ได้ให้ผลดีเลย(สำหรับเรานะ) ร่างกายจะอ่อนเพลียหลังจะออกสมาธิ ไม่พร้อมที่จะมั่งมั่นในสมาธิต่อ พอออกจากภวังค์แล้วออกจากสมาธิ จะได้ผลลัพธ์คือ ต้องนอนอ่ะ รู้สึกเหมือนง่วง ทั้งๆที่ก่อนนั่งสมาธิเราก็ไม่ง่วงนะ ปกติดีเลย แต่ถ้าวันไหนเข้าสมาธิแล้วเกิดภวังค์เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นเลย ... ทำเอาเราง่วงและเพลียๆทุกที ตรงนี้เราขอจบภาค 1 ของสมาธิที่เราฝึกฝนนะ ซึ่งภาคสองก็จะพูดถึงการเข้า ฌาน ล่ะนะ เพราะเราเข้าฌานได้แล้ว ซึ่งเราศึกษาและวัดผลจากอารมณ์สมาธิและความตั้งมั่น + อาการณ์ต่างๆ + หลักการ เราก็จะเอาประสบการณ์มาการเข้าฌานที่เราสามารถเข้าได้แล้วมาบอกต่อท่านทั้งหลายได้มาฝึกฝนกันนะ ----------------------------------------------------- ประสบการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริง เขียนแบบตรงไปตรงมาของผู้อ่อนหัดในด้านสมาธิ หากท่านใดเป็นมือใหม่เหมือนกับผม หรือท่านใดที่ีมีความรู้ก็นำประสบการณ์มาแชร์กันได้ เพื่อเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางกับผู้ที่สนใจในการฝึกนั่งสมาธิ สืบต่อไป เมื่อวันที่ : 2020-03-10 18:45:30 สนใจติดต่อโทร : 087-613-1076 Line ID : 0876131076 |